ม้าขากะเผลก
กิร ดังได้สดับมา
พระเจ้าพาราณสีทรงม้ามงคลตัวหนึ่งชื่อปัณฑวะ ทรงให้เลี้ยงอย่างดี ตอนเช้าคนเลี้ยงจะจูงม้าปัณฑวะไปวิ่งออกกำลังทุกวัน แต่เผอิญว่าคนเลี้ยงม้าเป็นคนขากะเผลกเขาทำหน้าที่จูงม้าไปออกกำลังตามปกติ ม้าเห็นคนจูงเดินขากะเผลกนำหน้าไปทุกเช้าก็คิดว่าเขากำลังฝึกตนให้เดินเช่นนั้น นับแต่นั้นมาม้าเริ่มเดินผิดปกติ คือเดินขากะเผลกเหมือนม้าพิการ
วันหนึ่ง พระเจ้าพาราณสีเสด็จไปทรงม้าปัณฑวะทรงเห็นความผิดปกติในม้าทรง คือวิ่งไม่ตรงและไม่เรียบอย่างที่เคย ทรงพิจารณาว่าม้าขากะเผลกไป ถามใครก็ไม่รู้เรื่อง จึงเสด็จเข้าไปในวังแล้วมีรับสั่งให้หมอหลวงไปดูอาการ หมอหลวงไปตรวจดูแล้วก็ไม่พบโรคอะไรในตัวม้า จึงกลับมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ พระราชาจึงทรงรับสั่งให้หาอำมาตย์ที่ปรึกษาผู้เป็นราชบัณฑิตประจำราชสำนักเข้ามาเฝ้าแล้วตรัสสั่งว่า
เออนี่ท่านอำมาตย์ ช่วยไปดูทีว่าทำไมม้าปัณฑวะจึงเดินขากะเผลก หมอหลวงไปตรวจดูแล้วก็หาสาเหตุไม่พบ
อำมาตย์จึงไปที่โรงม้าหลวง คอยสังเกตอาการม้าอยู่สองสามวัน ก็ทราบสาเหตุแห่งความผิดปกติของม้า จึงเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
พระพุทธเจ้าข้า เหตุทั้งปวงเกิดจากคนจูงม้าไปออกกำลังกายเป็นคนขากะเผลก ม้าได้เห้นตัวอย่างเช่นนั้นจึงได้ทำตามบ้าง หากเปลี่ยนคนจูงม้าเป็นคนเดินปกติเสีย ม้าก็จะเดินเป็นปกติเหมือนเดิม พระพุทธเจ้าข้า
พระเจ้าพาราณสีทรงรับสั่งให้เปลี่ยนคนจูงม้าใหม่ ไม่ช้าม้าปัณฑวะก็กลับมาเดินเหมือนเดิม
เรื่องนี้สื่อความได้ว่า
ไม่ว่าคนหรือสัตว์ย่อมมีปกติเหมือนกันอยู่อย่างคือ ชอบทำตามผู้นำ โดยเฉพาะเด็กๆเขาจะมองดูผู้ใหญ่แล้วทำตามลำพัง แค่สอนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้เขาจะอิดออดและไม่อยากทำ แต่ถ้าคนที่เขาใกล้ชิด เช่นพ่อแม่ พี่ๆปู่ย่าตายายครูอาจารย์ตลอดจนพี่เลี้ยงทำอะไรเขาเห็น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก เขาชอบจะทำตามทุกอย่าง ความปกติอันเป็นข้อเท็จจริงนี้ย่อมเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่ที่ฉลาดที่ต้องการฝึกฝนอบรมลูกหลานของตนให้เป็นคนดีโดยไม่ต้องปากเปียกปากแฉะสอนลูกหลานให้มากความ เพียงทำเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานเห็นทุกวันเท่านั้น เขาก็จะทำตามจนติดเป็นนิสัย ต้องการให้ลูกหลานเป็นอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ให้ลูกเห็นเป็นใช้ได้ ดังคำที่ว่า ต้องการให้ลูกดี ต้องทำดีให้ลูกดู |